วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

1 เดือนหลังการตัดสินจำคุก ดา ตอปิโด คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

28 กันยายน 2552

ตั้งแต่เธอถูกตัดสินคดีลงโทษ 18 ปี พัศดีปฏิบัติกับเธออย่างเลวร้าย ประการแรก ใช้ป้ายเขียนว่า “อาฆาตมาดร้ายสถาบัน” จากข้อความเดิม “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

ตั้งแต่ศาลอาญาตัดสินคดีแล้ว ผู้คุมปฏิบัติเลวร้ายมากขึ้น เรียกเธอมาข่มขู่ทุกวัน อาจจะเป็นจิตวิทยาในการกำราบนักโทษให้หวาดกลัว แต่ทว่าก็ไม่ได้ผล 100% เธอเล่าว่า นักโทษประเภทหัวแข็งที่ข่มขู่แล้วไม่กลัวก็มีอยู่บ้าง ในที่สุดผู้คุมเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรได้

เธอเคยรับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง ครั้งหนึ่งเธอเคยเตือนนักโทษคนอื่นที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม แต่เธอถูกตอกหน้าจากนักโทษคนนั้น เช้าวันต่อมา เธอยังถูกเยาะเย้ยต่อหน้าผู้คุม ที่เป็นท้าทายกับผู้คุม แต่ผู้คุมดูเหมือนว่าไม่รับรู้

ครั้งหนึ่งเธอทำหัวหน้าห้องด้วยการตักเตือนนักโทษอีกคนหนึ่ง แต่นำไปสู่การตบตี การลงโทษของผู้คุมคือ ลงโทษทั้งสองฝ่ายโดยไม่สนใจถึงเหตุผล ทั้งที่เหตุการทะเลาะมาจากการที่เธอปกป้องผลประโยชน์ของเรือน วิธีการลงโทษนี้ เหมือนกับแก้ปัญหาการทะเลาะของเด็กชั้นประถม

เธอเล่าว่า ถูกแยกขังเดี่ยวตลอดเวลากลางวัน และกลับมานอนร่วมกับผู้ต้องขังอื่นๆ ในเวลากลางคืน โดยที่ผู้ต้องขังอื่นๆ ก็ถูกตักเตือนไม่ให้พูดคุยด้วย และให้ผู้ต้องขังรายอื่นรายงานต่อเจ้าหน้าที่เรือนจำในกรณีที่พูดคุยกับเธอ

การนอนในห้องขังเป็นการเบียดติดกันอย่างแออัด ถ้ามีคนป่วยเป็นไข้หวัดหมู (ทางการไทยเรียกว่า ไข้หวัด 2009) ก็จะติดต่อกันทั้งหมดได้ทันที

เธอได้แต่ภาวนาว่า จะไม่มีไข้หวัดหมูระบาดในเรือนจำ ถ้ามีก็คงไม่ได้รับความสนใจในการบำบัดรักษา เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นคน คนในสังคมอาจจะคิก ถ้าพวกนี้ตายก็จะลดภาระงบประมาณรัฐลงไป ดังนั้น จึงเป็นความสิ้นหวังที่เรี้ยกร้องให้มีการจ่ายยาราคาแพงและมีน้อยสำหรับพวกเธอ

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

บริจาคช่วยเหลือ ดา ตอปิโด

ท่านสามารถบริจาคช่วยเหลือ ดา ตอปิโด ผ่านบัญชี

ชื่อบัญชี นายกิตติชัย  ชาญเชิงศิลปกุล บัญชีออมทรัพย์   เลขที่บัญชีดังนี้ครับ
1. ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด (มหาชน) สาขาพูนผล  2971258055
2. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาภูเก็ต  2644402980
3. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาภูเก็ต  5374061160

กิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล 08-0045-2818

ดา ตอปิโด – ทายชื่อคนขอเยี่ยมไม่ได้ห้ามเยี่ยม

27 กันยายน 2552

ไปเยี่ยมคุณ ดารณี เชิงชาญศิลปกุล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2552 ในครั้งนี้ เธอเล่าให้ฟังว่า กว่าเธอจะได้ออกมาพบ พัศดีให้ทายว่าใครมาเยี่ยม โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าทายไม่ถูก จะไม่ห้ามเยี่ยม ในสถานการณ์นี้ คงไม่นับเป็นล้อเล่นประเภท “อะไรเอ่ย” แต่สร้างความตึงเคียดให้กับผู้ต้องขังมากขึ้น

เธอรู้สึกว่า เกม “อะไรเอ่ย” นี้เป็นการละเมิดและทำร้ายจิตใจต่อผู้ต้องขังรุนแรง เพราะการอยู่ในห้องขังเป็นเรื่องที่ทรมานมากอยู่แล้ว และเมื่อมีคนมาเยี่ยมแล้วไม่ได้เยี่ยมเป็นบีบคั้นจิตใจมากขึ้น

ในทางปฏิบัติยังไม่แน่ชัดว่า เรือนจำได้ใช้วิธี “อะไรเอ่ย” ในการอนุญาตให้เยี่ยมหรือไม่ ถ้าจริง ก็ต้องนับว่าเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ต้องขัง

เธอเล่าว่า พวกนักโทษหัวแข็งหรือประเภทกล้าขัดขืน ผู้คุมก็แทบจะไม่ทำอะไรกับนักโทษกลุ่มนี้ แต่ผู้คุมมักจะข่มขู่กับนักโทษที่พวกเขาสามารถข่มขู่ได้หรือพวกหัวอ่อน

บางคนถูกข่มขู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากผู้คุม สิ่งเหล่านี้เป็นสร้างความกดดันอย่างยิ่ง การข่มขู่กับพวกหัวอ่อนอาจจะเป็นการตอบสนองอารมณ์ของผู้คุม อาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับพวกหัวแข็งจึงต้องหาที่ลง หรือพวกเขาในฐานะพวกอำนาจนิยมที่สามารถใช้อำนาจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่น่าแปลกที่ทำไม พวกเขาทำอะไรกับพวกหัวแข็งไม่ได้

เธอเล่าว่า ไม่น่าแปลกใจที่มีนักโทษฆ่าตัวตาย เนื่องจากความกดดันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกวันในระยะเวลายาวนาน คนที่ออกจากเรือนจำ ย่อมเป็นคนผิดปกติทางจิตในที่สุด

การปกครองของเรือนจำในแบบนี้ ย่อมไม่สามารถทำให้คนเลวเปลี่ยนเป็นคนดีได้ เพราะคนสิ้นหวังในการทำความดี นักโทษหลายรายต้องโทษด้วยความผิดเล็กน้อย บางรายต้องรับโทษเพราะคนอื่น เช่น คดียาบ้าบางราย สามีค้า แต่ภรรยาต้องติดคุก เป็นต้น

นอกจากจะออกไปพร้อมกับความผิดปกติทางจิต และยังทำให้คนที่ออกไปมีศีลธรรมที่ต่ำลง

ดา ตอปิโด เห็นว่าสมควรจะต้องทบทวนการปกครองและบริหารนักโทษเพื่อทำให้ผู้พ้นโทษกลายเป็นคนดีของสังคม อาจจะเริ่มต้นกฎหมายราชทัณฑ์ปัจจุบันสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในยุคนี้หรือไม่

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

เนวิน ช่วยจ่ายค่าทนายให้ดา ตอปิโด แต่ยังค้างอีก 60,000 บาท

16 กันยายน 2552

กิตติชัย เชิงชาญศิลปกุล พี่ชาย คุณดารณี เล่าว่า ค่าทนายคดีของคุณดา เป็นเงิน 200,000 บาท จำนวนนี้ได้จ่ายไปแล้ว 140,000 บาท เดิมคุณเนวิน ได้จ่ายมา 200,000 บาท เพื่อการประกันตัวแต่ประกันไม่ได้ จึงนำใช้จ่ายเป็นค่าทนาย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายอื่น 60,000 บาทจึงเหลือสุทธิ 140,000 บาท

ตั้งแต่คุณดา ถูกจับ คุณเนวิน ชิดชอบ โอนเงินค่าใช้ของให้ดา ผ่านคุณจ๋า เดือนละ 31,000 บาท เขาได้ฝากให้ดาวันละ 200 บาท เดืนอละ 6,000 บาท ข้าวของเครื่องใช้อื่น 6,000 บาท เขาใช้เงินจำนวนนี้สำหรับการเดินทางมาเยี่ยมและเกี่ยวกับคดี เพิ่งจะแจ้งยกเลิกในเดือนกรกฏาคม

เขาได้พยายามติดต่อ สส. เพื่อไทย แต่ยังไม่มีความคืบหน้า มีการติดต่อกับคุณจตุพร พรหมพันธุ์ แต่ไม่มีการติดต่อกลับมา

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

ดา ตอปิโด – ฝากบอกสามเกลอมาเยี่ยมบ้าง

16 กันยายน 2552

เสื้อที่เธอสวมใส่เป็นชุดน้ำตาลขอบแขนเสื้อขลิบผ้าสีแดง ซึ่งหมายถึง นักโทษค้ายาบ้า 1 ล้านเม็ด และโทษ 18 ปี ของเธอมากกว่าผู้ยาเสพติดรายใหญ่หลายราย วันนี้เธอฟังคดีหมิ่นประมาท พล.อ.สะพรั่ง ซึ่งเธอแพ้คดีและถูกปรับ 50,000 บาท แต่ไม่ต้องชำระ เนื่องจากเธอถูกจำคุกมานานเกินกว่าค่าปรับ

เธอฝากให้ช่วยกันเรียกร้องกับเรือนจำเพื่อสิทธิของนักโทษ ในการส่งจดหมายออก
1. ควรให้สามารถส่งจดหมายได้สัปดาห์ละสองฉบับ ปัจจุบันส่งได้สัปดาห์ละหนึ่งฉบับ
2. ทางเรือนจำมีขั้นตอนล่าช้าในการส่งจดหมาย เช่น จดหมายติดค้างนานเป็นเดือนเพราะไม่มีแสตมป์ ทั้งที่ผู้ส่งได้จ่ายค่าส่งไปแล้ว
การส่งจดหมายภายในเรือนจำมีความล่าช้ามากบางฉบับวันที่รับห่างจากวันที่ส่งจากตราประทับ มากกว่าสองสัปดาห์

ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป ทางเรือนจำจะตัดงบประมาณอาหารลง ทั้งที่อาหารย่ำแย่อยู่แล้ว เช่น แกงไก่ จะมีส่วนผสม มะเขือ 1 ไร่ต่อไก่ 1 ตัว

เธอยังคงต้องการให้ช่วยหาหนังสือและวิดีโอ ที่มีสาระมาให้กับทางเรือนจำเพื่อฉายให้นักโทษดู เพราะอยากจะให้นักโทษที่พ้นโทษออกไปไม่พิการทางสมอง

เธอเห็นว่า การเสนอตัวของประเทศไทยเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติ อาจจะนำมาสู่ความเสื่อมของประเทศเพราะอาจจะมีผู้คัดค้าน เพราะประเทศไทยยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน กับคนที่ความคิดเห็นต่างทางการเมือง
(แน่นอนเธอพูดถูก เพราะศาลไทยเริ่มถูกองค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากล สอบถามเรื่องการพิจารณาคดีของเธอเป็นลับ องค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียน วิจารณ์การพิจารณาคดีของเธอ)

เธอฝากข่าวสารไปถึง สามเกลอ (คุณวีระ มุสิกพงษ์ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ว่า ให้ช่วยมาเยี่ยมเธอบ้าง เธอหวังว่าพวกเขายังจำได้ถึงตอนที่ถูกจับตอนบุกบ้านสี่เสา เธอมาเยี่ยมพวกเขาทุกวัน ที่ผ่านมามีเพียงคุณจักรภพ เพ็ญแข เท่าที่เคยมาเยี่ยมเสมอ และฝากถึงหมอเหวง โตจิระการ ด้วยมาเยี่ยมเธอบ้าง

เธอบอกว่า ทางที่ดี สามเกลอน่าจะมาพากันมาติดคุกในข้อหานี้สัก 10,000 – 20,000 คน ถึงจะเกิดผลสะเทือน แค่การจับกุมแก๊งชาวจีน 70 คน ทางเรือนจำยังวุ่นวายในการจัดหาห้องขัง ถ้า 10,000 – 20,000 คนจะทำอย่างไร สำหรับการจะรอให้ศัตรูตายไปเองตามอายุขัยโดยไม่ทำอะไร เพียงแค่นี้พวกเราไม่ควรต่อสู้ทางการเมืองมาแต่แรก